หากจะกล่าวว่าในสมัยก่อน โฆษณาตามโทรทัศน์หรือตามนิตยสารต่างๆ เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการตลาด ในปัจจุบันก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Influencer เองก็ถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อการตลาดในยุคสมัยปัจจุบันเช่นกัน อีกทั้งยังนับได้ว่ามีอิทธิพลมากกว่าสมัยก่อนพอสมควรอีกด้วย เพราะผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย รวดเร็ว ได้ทุกที่ และทุกเวลา
Influencer คืออะไร
Influencer คือ กลุ่มคนผู้มีอิทธิพลตามสื่อออนไลน์บนแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ ที่มีผู้คนรู้จักกันอย่างแพร่หลาย เช่น Facebook, Twitter, Instagram, Youtube, และ TikTok เป็นต้น บุคคลเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อการตลาดค่อนข้างมาก เพราะผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ติดตามได้ง่าย สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ และเข้าถึงได้ตลอดเวลา ยิ่งถ้าหากเป็นผู้ที่มีคนติดตามเยอะ ก็จะยิ่งนับได้ว่ามีอิทธิพลต่อการตลาดมากขึ้นตามไปด้วย เพราะสามารถทำให้ผู้ติดตามให้ความสนใจกับสิ่งที่ตัวเองนำเสนอได้ผ่านตัวตนของตนเอง
กล่าวได้ว่าผู้คนให้ความสนใจกับสิ่งที่ Influencer นำเสนอ มากกว่าสิ่งที่ตัวแบรนด์เองนำเสนอ Influencer Marketing จึงเป็นสิ่งที่มีส่วนช่วยในการทำการตลาดเป็นอย่างมาก และเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
Influencer มีประโยชน์อย่างไรกับธุรกิจ ในยุคปัจจุบัน
ในปัจจุบัน ผู้คนให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดียค่อนข้างมาก เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญต่อชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้ การมีผู้ที่มีอิทธิพลบนโซเชียลมีเดียบนแพลตฟอร์มต่างๆ อย่าง Influencer เข้ามาเกี่ยวข้องในการทำธุรกิจ จะทำให้มีโอกาสในการส่งต่อข้อมูลต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากการใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับกลุ่มคนที่หลากหลายทั้งในด้านวัยและอาชีพ ผู้ที่มีผู้ติดตาม ชื่นชอบ และสนใจคอนเทนท์เฉพาะทางเป็นจำนวนมากนั้น จะยิ่งทำให้มีโอกาสในการส่งข่าวต่างๆ หรือทำให้บางสิ่งบางอย่างเป็นกระแสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Influencer เป็นบุคคลที่มีผู้ให้ความสนใจและติดตามเป็นจำนวนมาก กลุ่มคนที่ติดตามนี้ก็สามารถเรียกได้ว่าให้ความไว้ใจกับตัวอินฟลูเอนเซอร์ในระดับหนึ่ง เมื่อมีผู้ติดตามจำนวนหนึ่งแล้ว การติดต่อสื่อสารและส่งข่าวสารต่างๆ ผ่านออกไปทางผู้ติดตามนั้น จึงนับได้ว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่าย มีความรวดเร็ว และส่งต่อไปยังกลุ่มคนภายนอกได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ กลุ่มผู้ติดตามที่ไว้ใจในตัว Influencer จะส่งผลให้การรับข่าวสารต่างๆ มีความไว้เนื้อเชื่อใจมากขึ้น การทำธุรกิจผ่าน Influencer จึงมีผลดีมากขึ้นตามไปด้วย
กล่าวคือ หากต้องการจะโปรโมทสินค้า โปรโมทแบรนด์ หรือกระจายข่าวผ่านตัว Influencer ก็จะได้ผลดีมากกว่าการโปรโมทโดยตรงจากตัวแบรนด์เอง เพราะการแสดงให้เห็นผ่านตัว Influencer ว่าผ่านการใช้จริงมาก่อน จะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นและความไว้ใจ สามารถโน้มน้าวผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการตลาดแบบอื่นนั่นเอง
นอกจากนี้ การเลือก Influencer ที่เหมาะสม ยังส่งผลให้แบรนด์มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น และสามารถเจาะตลาดไปในกลุ่มผู้บริโภควัยอื่นๆ ได้มากขึ้นด้วย ไม่เพียงเจาะจงไปที่กลุ่มคนเพียงช่วงอายุเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังสามารถเก็บข้อมูลผ่าน Engagement ต่างๆ บนโซเชียลมีเดียได้ เช่น ยอด Like, Share, และ Comment รวมไปถึงจำนวนครั้งของการคลิกลิงก์ผ่านทาง Influencer เพื่อนำไปต่อยอดพัฒนาวางแผนทางธุรกิจว่ากลยุทธ์ทางการตลาดประเภทนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่อีกด้วย
ประเภทของ Influencer
Influencer สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ โดยแบ่งออกตามจำนวนของผู้ติดตาม ดังนี้
Celebrity
กลุ่มผู้มีชื่อเสียงที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมากในด้านหนึ่ง โดยมีจำนวนผู้ติดตามเป็นจำนวนตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้าน มักจะเป็นดารา นางแบบ นายแบบ เซเลบริตี้ หรือนักกีฬาที่มีชื่อเสียง Influencer กลุ่มนี้จะเน้นการให้ผู้ติดตามรับทราบถึงข้อมูล และส่งต่อข้อมูลออกไปเป็นวงกว้าง โดยไม่เจาะจงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งและไม่เจาะจงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
Micro Influence
กลุ่มคนที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวน 5,000 ไปจนถึงหนึ่งแสน Influencer กลุ่มนี้จะเจาะกลุ่มตลาดได้เฉพาะเจาะจงยิ่งกว่ากลุ่มอื่น มีเป้าหมายที่ชัดเจน เพราะยังมีคู่แข่งน้อย และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ติดตามได้มาก ทำให้เป็นกลุ่มที่สร้าง Engagement ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถโน้มน้าวผู้ติดตามได้มากกว่ากลุ่มอื่น
Macro Influencer
กลุ่มคนที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนหลักแสนคนขึ้นไป Influencer ประเภทนี้จะมีคอนเทนท์เฉพาะตัว เน้นการให้ข้อมูลที่มีรูปแบบเจาะจง ทำให้มีผู้สนใจแบบเฉพาะกลุ่ม จึงเหมาะสำหรับการทำการตลาดให้กับแบรนด์แบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
Macro Influencer vs. Micro Influencer แบบไหนเหมาะกับงานไหน
อันดับแรก ควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของแบรนด์ก่อน ว่าต้องการเจาะกลุ่มผู้บริโภคแบบไหน ถ้าหากเป็นแบรนด์ใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักอย่างแพร่หลาย ควรเลือก Macro Influencer คือ ผู้นำเสนอแบรนด์ให้ผู้บริโภครู้จักกันในกลุ่มคนประมาณหนึ่งก่อน เพราะจะได้ผลดีสำหรับตลาดที่ต้องการเจาะกลุ่มผู้บริโภคแบบเฉพาะ การเลือก Influencer ประเภทนี้จะเป็นการเน้นในเรื่องของการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก แต่จะมียอด Engagement ที่ค่อนข้างต่ำ
หลังจากนั้นจึงติดต่อ Micro Influencer คือ ผู้นำเสนอข้อมูลในกลุ่มผู้บริโภคแบบเล็กๆ อินฟลูเอนเซอร์กลุ่มนี้มักให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนที่ไว้ใจได้ ส่งผลให้ให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกใกล้ชิด และถูกโน้มน้าวได้ง่าย จึงเกิดเป็นการเน้นการขยายข้อมูลแบบกระตุ้น Engagement เป็นการบอกต่อระหว่างบุคคลต่อบุคคลเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และโน้มน้าวผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง
กลยุทธ์การทำ Influencer Marketing
กลยุทธ์ในการทำ Influencer Marketing ที่ได้ผลลัพธ์ดีเยี่ยม เรียกว่า “SEED Strategy” หรือเรียกสั้นๆว่า “ซี้ด” เป็นกลยุทธ์ที่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ และทำให้ผู้คนให้ความสนใจมากขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้
Sincere (ความจริงใจ)
ผู้คนในยุคปัจจุบันค่อนข้างให้ความสำคัญกับความจริงใจของบุคคล การเลือก Influencer ที่เป็นที่ชื่นชอบ มีบุคลิกที่ชัดเจน และดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคมาเป็นผู้นำเสนอแบรนด์ โดยนำเสนอด้วยวิธีการที่จริงใจ พูดตามข้อเท็จจริง ไม่พูดถึงแต่ข้อดี แต่บอกถึงข้อเสียตามความเป็นจริงด้วย จะสามารถโน้มน้าวผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Engagement (การเข้าถึง)
ยอด Engagement ตามสื่อโซเชียลต่างๆ ทั้งยอด Like, Comment, และ Share นับว่ามีผลดีต่อการตรวจเช็กความสนใจของผู้บริโภค ซึ่งโดยรวมแล้วควรคำนวณได้เป็น 5% ของยอดผู้ติดตามทั้งหมด
Different (ความแตกต่าง)
การเลือก Influencer ที่มีความแตกต่างจากคนอื่น มีคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจน มีบุคลิกที่เหมาะสมกับแบรนด์ จะยิ่งทำให้แบรนด์มีความโดดเด่น และดึงดูดให้ผู้บริโภคสนใจมากขึ้น
Expertise (ความเชี่ยวชาญ)
Influencer ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในแบบที่เหมาะสมกับแบรนด์ จะยิ่งส่งเสริมให้แบรนด์ดูมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น สามารถโน้มน้าวผู้บริโภคให้หันมาสนใจในผลิตภัณฑ์มากขึ้น และกระตุ้นยอดขายได้ดีขึ้นตามไปด้วย
3 : สรุป
Influencer นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญของการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน เพราะชีวิตประจำวันของผู้คนในทุกๆ วันนี้ ต้องใช้โซเชียลมีเดียอยู่เสมอ การเข้าถึงผู้บริโภคผ่านทางโซเชียลมีเดียบนแพลตฟอร์มต่างๆ จึงเป็นวิธีที่เห็นผลเร็วที่สุด มีประสิทธิภาพ และสามารถทำได้ง่าย หากเลือก Influencer ได้ถูกประเภทและถูกจุดประสงค์นั่นเอง
หากคุณสนใจที่จะทำการตลาด แต่ยังไม่มั่นใจว่าควรเริ่มต้นอย่างไร ทาง Fastcommerz มีบริการรับทำ Sale Page ซึ่งเป็นบริการการทำการตลาดแบบออนไลน์ด้วยการทำ “เว็บไซต์หน้าเดียว” สามารถนำเสนอข้อมูลได้ครบ จบ ภายในหนึ่งหน้า นับว่าเป็นระบบที่เหมาะสมกับผู้คนที่ไม่ต้องการอ่านรายละเอียดเยอะ และยังสามารถอ่านได้ง่ายเพียงแค่มือโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตอีกด้วย รวมถึงยังมีบริการทางด้านการตลาดอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งถ้าหากคุณสนใจ สามารถติดต่อได้ตามรายละเอียดด้านล่างนี้เลย
– เบอร์โทร: 084-509-5545, 061-924-7449
– อีเมล: fastcommerz@gmail.com
– ที่ตั้ง: 573/104 รามคำแหง 39 แขวง พลับพลา เขต วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร 10310